วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทาน ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

นิทานเรื่องต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

   
นิทานเรื่อง ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม
จำนวนหน้า 15 หน้า
แต่งโดย  นางสาวจุฬาลักษณ์  บุดดี
เรื่องย่อ...ด้วยความน้อมของเจ้าไผ่นำมาสู่ความรัก แต่ความอวดเก่งของต้นสักใหญ่เป็นเหตุของความหายนะ

นิทานเรื่องต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

   
นิทานเรื่อง ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม
จำนวนหน้า 15 หน้า
แต่งโดย  นางสาวจุฬาลักษณ์  บุดดี
เรื่องย่อ...ด้วยความน้อมของเจ้าไผ่นำมาสู่ความรัก แต่ความอวดเก่งของต้นสักใหญ่เป็นเหตุของความหายนะ


1.
2.
3.

4.
5.
6.
7.

8.
9.
 10.
 11.
12.
 13.
 14.
 15.



สามารถดาวน์โหลดไฟล์ PDF ได้ที่นี่

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

การแปล Tense

ลักษณะ Tense ในภาษาอังกฤษ
       ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปกริยาเพื่อแสดงกาล กริยานั้นอาจจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น go went gone หรือเติมปัจจัยเข้าไปหลังกริยา เช่น walk walked walked ในประโยคอาจมีหรือไม่มีคำบอกกาลเวลากำกับอยู่ หน้าที่ของกริยาที่เปลี่ยนไปที่เราเรียกว่า tense ต่าง ๆ นี้ คือ เพื่อบอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน
ตัวอย่างประโยค 3 ประโยคต่อไปนี้ มีความหมายไม่เท่ากันในแง่ของกาลเวลา
1. My friend lives in Bangkok.
2. My friend lived in Bangkok.
3. My friend has lived in Bangkok. 
ประโยค 1-3 อาจแปลได้ความเท่ากัน คือ “เพื่อนของฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ” แต่ความหมายของประโยคที่เกี่ยวกับเวลาไม่เท่ากัน
ประโยคที่ 1 ใช้ simple present tense หมายความชัดเจนว่า
เพื่อนของฉันอยู่ในกรุงเทพฯ (กำลังอยู่ในขณะนั้น)
ประโยคที่ 2 ใช้ past tense แสดงว่า
เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว 
ประโยคที่ 3 ใช้ present perfect tense อาจหมายความว่า
เขาเคยอยู่ที่นั่นในอดีต ตอนนี้อาจจะยังอยู่หรืออาจไม่อยู่แล้ว 

คำบอกกาลในภาษาไทย
          ภาษาที่มีวิภัตติ ปัจจัย อย่างภาษาบาลี สันสกฤตและอังกฤษ กาล มาลา วาจก เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ในภาษาไทย กาล มาลา วาจก ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก เพราะภาษาไทยเวลานำมาพูดหรือเขียน ไม่จำเป็นต้องระบุเวลาว่าเมื่อไร ผู้ฟังและผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเอาเอง ภาษาไทยไม่มีการแจกวิภัตติ ปัจจัยเพื่อบอกกาลเวลา คำแต่ละคำใช้ได้ในทุกโอกาส เมื่อต้องการจะบอกกาลเวลาก็มีวิธีการที่จะบอกได้ดังนี้
เมื่อต้องการทราบว่า กริยากระทำเมื่อไรต้องอาศัยกริยาช่วย เช่น จะ อยู่ กำลัง ได้ แล้ว ในภาษาไทยจะบ่งชัดลงไปว่า กริยาแท้ หรือ กริยาช่วย ต้องดูตำแหน่งในประโยคเป็นส่วนประกอบด้วย คำเหล่านี้บอกกาลเวลาต่างกัน คือ 
บอกปัจจุบัน เช่น อยู่ กำลัง กำลัง....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว
ดูโทรทัศน์อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักหลับนอน 
(เป็นการบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ยุติลง แสดงว่า ยังดูโทรทัศน์โดยไม่ยอมเข้านอน)

เขากำลังวิ่ง 
(คำว่า “กำลัง” เป็นคำบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าเขากำลังวิ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ได้หยุดวิ่ง)

สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่
(แสดงว่า ตลอดเวลาสมศักดิ์นอนหลับอยู่ยังไม่ตื่นขึ้นมา เป็นการบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่โดยเน้นความ)

สมศรีกำลังทำการบ้านอยู่แล้ว 
(ประโยคนี้เน้นความยิ่งกว่า สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่เพราะในข้อความนี้ได้เน้นให้เห็นว่า สมศรีได้ลงมือทำการบ้านแล้ว แต่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ซึ่งเป็นการบอกเหตุการณ์ให้รู้ว่าการกระทำได้เริ่มเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ)
บอกอดีต ได้แก่ ได้ ได้....แล้ว เช่น 
สมศรีได้รับจดหมาย 
(บอกให้รู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา สมศรีได้รับจดหมาย)
สมศรีได้พบคุณพ่อแล้ว 
(บอกให้รู้ว่าการพบคุณพ่อของสมศรีได้ผ่านพ้นไปและเสร็จสิ้นลง เรียบร้อยแล้ว)

บอกอนาคต ได้แก่ จะ กำลังจะ....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว เช่น
ใครจะไปใครจะมา 
(บอกเวลาล่วงหน้า เหตุยังไม่เกิด) 
หล่อนกำลังจะเปิดวิทยุฟังเพลง
สมศรีกำลังจะกินอาหารอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
คุณแม่กับคุณพ่อกำลังจะไปตลาดอยู่แล้ว

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของ tense ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยในแง่รูปคำและหน้าที่

Tense ในภาษาอังกฤษ
Tense ในภาษาไทย
รูปคำ
- เปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น go went gone 
- ไม่เปลี่ยนรูปกริยา 
- เติมปัจจัย ed เช่น walk walked walked 
- มีการเติมกริยาช่วย เช่น กำลัง กำลังจะ แล้ว 
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
หน้าที่
- บอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน ตาม tense ที่ต่างกัน
- ไม่ให้ความสำคัญกับกาล/เวลาที่ต่างกัน
- รู้กาลเวลาโดยเดาจากปริบท หรือจากคำกำกับเวลา (ถ้ามี)

วิธีแปล
          ผู้แปลควรอ่านประโยคภาษาอังกฤษเพื่อทำความเข้าใจความหมายของ tense ในแง่ของกาล/เวลา ดูว่าประโยคนั้นใช้ tense อะไร แล้วจึงแปลถ่ายทอดเป็นภาษาไทยให้ตรงกับลักษณะกาล/เวลา ที่นิยมใช้ในภาษาไทย โดยอาจจะเติมคำเสริมกริยาต่าง ๆ หรือคำบอกเวลาที่เหมาะสมในภาษาไทย เช่น มาตลอด ก่อน แล้ว จะ เพิ่ง เคย เป็นต้น ถ้าในประโยคภาษาอังกฤษนั้นมีกริยาหลายตัวที่อยู่ใน tense เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมกริยาไปทุกที่ เพราะจะเป็นการซ้ำซ้อนซึ่งภาษาไทยไม่นิยม ดังตัวอย่างเช่น
เขากำลังจะโทรศัพท์ถึงเพื่อนของเขาและเพื่อนของเขากำลังจะมา
เขาทั้งสองกำลังจะไปทานข้าวนอกบ้านกัน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

เช่นเดียวกันเมื่อแปลประโยคหรือข้อความที่เป็นเรื่องเล่า ซึ่งใช้คำกริยาเป็นอดีตกาล
เวลาแปลภาษาไทยไม่นิยมใส่คำบอกกาล ได้ + กริยา อย่างพร่ำเพรื่อ ตัวอย่างเช่น
เขาได้ไปโรงเรียน เขาได้มาถึงโรงเรียนทันเวลา และเขาได้ทำความเคารพครูที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

ตัวอย่างการแปลประโยคภาษาอังกฤษที่มี tense ต่าง ๆ เป็นภาษาไทย

1. Have you finished your term paper?
ทำรายงานเสร็จแล้วหรือยัง
อธิบาย: แล้ว-ยัง คำบอกเวลาจากอดีตมาจนปัจจุบัน (present perfect tense)
No, but I’ll finish it this evening.
ยังหรอก แต่จะทำให้เสร็จตอนเย็นนี้
อธิบาย: จะ....ตอนเย็นนี้ บอกกาลอนาคตแบบของไทย
2. Did you see a lot of friends at the party?
คุณพบเพื่อนหลายคนไหมที่งานเลี้ยง
อธิบาย: อดีต แต่ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมบอกอดีต เช่น “ได้” ข้างหน้าคำกริยา
No, I didn’t. When I arrived there, some of them had already left.
ไม่ค่อยพบหรอก พอไปถึงที่งานปรากฏว่าเพื่อนหลายคนกลับไปก่อนแล้ว
อธิบาย: already = ก่อนแล้ว และกริยาในประโยคก็แปลอย่างปกติ
3. Did you enjoy the party last night?
เมื่อคืนงานเลี้ยงสนุกไหม
อธิบาย: แปลคำบอกกาลก็เพียงพอแล้ว last night = เมื่อคืน
Yes, I did. It wasn’t like any other party that I have ever been to.
สนุกซิ ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงก่อน ๆ ที่เคยไปเลย
อธิบาย: แปล present perfect จากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยใช้คำบอกกาล เคย....เลย
4. When I arrived at the office, the meeting was just beginning
เมื่อฉันไปถึงที่ทำงาน การประชุมกำลังเพิ่งเริ่มพอดี
อธิบาย: เราไม่แปล past tense ของกริยาว่าได้ + v แปลว่า ไปถึง เท่านั้น just
แปลว่า เพิ่ง ใช้คำนี้กับเหตุการณ์ในอดีตก็ได้
continuous tense ในประโยคนี้ แปลตรงกับภาษาไทยว่า กำลัง + v
5. Talking to her wasn’t easy although I had known her for a long time.
(การ) คุยกับเธอนั้นไม่ใช่ของง่าย ทั้ง ๆ ที่ฉันเคยรู้จักเธอมาก่อนแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ในอดีต ไม่นิยมแปลว่า ได้ + v การแปลเพื่อแสดง past perfect 
tense ใช้คำเสริมกริยา เคย...ก่อนแล้ว
6. By the time you read this letter, I will have already left home.
กว่าเธอจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็คงออกจากบ้านไปแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต สังเกตคำแปล กว่า...จะ คง...แล้ว แล้ว
ใน
ที่นี้แปลว่า ทำอาการนั้นแล้ว ไม่ได้แปลว่า อดีตหรือเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว
7. She explained that the problem of water was solved when she moved to this area ten years ago.
เธอชี้แจงว่าปัญหาเรื่องน้ำแก้ไขไปก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่แถบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน
อธิบาย: v. + ed ไม่จำเป็นต้องแปลว่า ได้ + v. เสมอไป ในบางจุดอาจเติม “จะ” เพื่อให้เห็นช่วงเวลาก่อนหลังที่ห่างกัน 2 ช่วง แก้ไขไปก่อน...จะ คำว่า “ก่อน” ที่อยู่ท้ายประโยค แปลจาก ago
8. When I finally knew what was happening, I saw many police inside my house. 
ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เห็นตำรวจอยู่เต็มบ้าน
อธิบาย: เพื่อให้เห็นความแตกต่างของเวลา 2 ช่วง ที่ใช้ past tense กับ past
continuous แปลเป็นภาษาไทย โดยใช้คำเสริมกริยา ก่อนจะ 
9. She has been standing there, waiting for her son, for more than two hours.
เธอยืนอยู่ที่นั่นมาตลอด คอยลูกชายอยู่เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว
อธิบาย: present perfect continuous tense แสดงโดยใช้คำเสริมบอกการทอดระยะของ 
ช่วงเวลา ....มาตลอด....แล้ว
10. I’ll be seeing him tomorrow at the office.
ผมนัดกับเขาไว้ว่าจะเจอกันพรุ่งนี้ที่ที่ทำงาน
อธิบาย: ประโยคที่ใช้ future continuous tense แสดงว่า มีการตกลงกันไว้แล้ว จะแปลต่างจากประโยคที่ว่า “I’ll see him” ผมจะไปพบเขา ซึ่งใช้ future tense ธรรมดา ที่แสดงถึงอนาคตกาลเท่านั้นเอง 

การแปลคำเชื่อมและสรรพนามต่าง ๆ
            ปัญหาหนึ่งที่ผู้แปลประสบเมื่ออ่านข้อความที่ติดต่อกันหลายประโยค คือ เกิดความสับสน ไม่ทราบว่าเรื่องราวและใจความเชื่อมโยงกันอย่างไร ส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก และส่วนใดเป็นส่วนขยาย โดยปกติแล้วประโยคที่ยาวและซับซ้อนจะมีคำเชื่อม (connectives) หรือคำโยงความ (discourse markers) ต่าง ๆ เช่น because, though, however เป็นต้น ทำหน้าที่เชื่อมโยงความแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน คำเชื่อมเหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่เชื่อมข้อความตามโครงสร้างแล้วแต่ละคำยังมีความหมายเฉพาะอีกด้วย ซึ่งในการแปลถ้าผู้แปลสามารถจับความหมายของคำเชื่อมเหล่านี้ได้จะทำให้แปลข้อความออกมาได้ถูกต้องชัดเจน คำเชื่อมต่าง ๆแบ่งตามประเภทและหน้าที่ดังต่อไปนี้ 
Function
Connectives/Discourse Markers
เพื่อยกตัวอย่าง (example)กล่าวซ้ำใจความสำคัญ (restatement)ให้คำอธิบาย (explanation) บอกเหตุ (cause)บอกเหตุบอกผล (cause & effect)เปรียบเทียบในเชิงคล้ายคลึงกัน(comparison) เปรียบเทียบในลักษณะที่แตกต่าง(contrast )บอกวัตถุประสงค์(purpose)บอกความขัดแย้งกัน(concession)บอกเงื่อนไข,ข้อแม้(condition)บอกเวลา(time)บอกความเพิ่มเติม (addition)
for example, take the example of,for instance, another instance of,such as, an example of, as forin other words, that is to sayin fact, as a matter of fact, accordingbecause, since, asfor this reason, because of this,consequently, as a resultsimilarly, likewise, in the same waybut, whereas, however, in contrast, conversely, on the other hand that, so that, in order that, in order toalthough, though, even though,the former......the latter even if, nevertheless, yetif, unless, provided that, oncondition thatwhen, while, since, asmoreover, furthermore, and
วิธีแปล
อ่านข้อความหรือประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายต่าง ๆ ก่อนจะลงมือแปลให้แบ่งข้อความนั้นเป็นตอน ๆ หรือแบ่งประโยคเป็นช่วงสั้น ๆ และวิเคราะห์โครงสร้างของข้อความหรือประโยคว่าส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก กรรมและส่วนขยาย 
ตัวอย่าง
As a schoolboy / he chose to take the bus to school / instead of being driven there in the family’s limousine. /Later, he won a King’s Scholarship / to study engineering in the United States, / but halfway through that, / he decided to give it up / and returned to Thailand / to study medicine instead. / 

จะสังเกตว่า ข้อความนี้มีคำเชื่อมอยู่ 5 คำด้วยกัน คือ as ที่ทำหน้าที่บอกเวลา but, instead และ instead of ทำหน้าที่บอกความแย้ง และ and ทำหน้าที่บอกความเพิ่มเติม ส่วนเครื่องหมาย / แบ่งช่วงข้อความที่จะแปล

คำแปล
เมื่อเป็นเด็กนักเรียน เขาเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนแทนที่จะนั่งรถที่บ้านไป ต่อมาเขาได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ยังประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเรียนไปได้ครึ่งทาง เขาตัดสินใจยกเลิก และกลับมาเมืองไทยเพื่อเรียนแพทย์แทน

ตัวอย่าง 
If you want to change the world, change the man in the mirror.
ถ้าเธอต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกละก็ จงเปลี่ยนคนที่คุณเห็นในกระจก

I hear you are enjoying your new job; on the contrary, I think it’s dull.
ฉันได้ยินว่าคุณสนุกกับงานใหม่ของคุณ ตรงกันข้ามทีเดียวฉันคิดว่าน่าเบื่อ

You can add the fluid to the powder or; conversely, the powder to the fluid.
คุณสามารถเติมของเหลวไปในแป้งหรือกลับกันเติมแป้งไปในของเหลวก็ได้ 

การใช้คำที่มีความหมายเหมือนหรือคล้ายกัน ในภาษาอังกฤษ

ในภาษาอังกฤษ  คำที่มีความหมายเหมือนหรือคล้ายกัน  แต่ใช้ต่างกัน มีมากมายที่เราพึงทราบ เพื่อการนำไปใช้อย่างถูกต้อง


A little, Little

ทั้งสองคำนี้ใช้กับนามนับไม่ได้เท่านั้น ซึ่งไม่มีการเติม "s"
"A little" มีความหมายเหมือนกับ A few เช่น
   He put a little milk and sugar in his coffee.
   เขาใส่นมและน้ำตาลเล็กน้อยลงในกาแฟ
   "little" มีความหมายเช่นเดียวกับ Few เช่น
   Love me little, love me long
   จงรักฉันแต่น้อย แต่รักฉันให้นาน ๆ


Accept, Agree  

 "Accept" หมายถึง ยอมรับ

(สิ่งของ, ข้อเท็จจริง ,คำเชิญ)   เช่น
   He accepted her gift. เขายอมรับของขวัญจากเธอ
 
  We accepted his invitation. เรายอมรับคำเชิญของเขา

   "Agree" หมายถึง เห็นด้วย ,เห็นชอบด้วย เช่น
  
 I agree with you in that case.

ฉันเห็นด้วยกับคุณในกรณีนั้น
  
 He did not agree to the plan.

เขาไม่เห็นด้วยกับแผนการนั้น


Afraid, fear
   "Afraid"เป็น Adjective ใช้ในรูป To + be + afraid + object

   She is afraid of dog. เธอกลัวสุนัข
   "Fear" เป็นกิริยาและคำนาม ถ้าเป็นรูป to fear + กรรม เช่น
   She fears dog. เธอกลัวสุนัข
   ในกรณีเป็นคำนามเช่น
   I don't want to walk in the garden for fear of dog.
   ฉันไม่ต้องการเดินในสวน กลัวสุนัข


ทำอย่างไรจึงจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง

สอนพูดภาษาอังกฤษ  ให้พูดได้เก่ง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้  ไม่กล้าและไม่มั่นใจที่จะพูดภาษาอังกฤษ และต้องการครูที่จะสามารถสอน หรือหาวิธีที่จะเริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษให้ได้  ซึ่งเป็นปัญหาที่คนปัจจุบันกำลังประสบอยู่  แม้ว่าจะเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10ปี 

การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก !!   หากคุณมีประสบการณ์ที่ดีในการเริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษ คุณจะสามารถพัฒนาทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ และทักษะการฟังภาษาอังกฤษ ตามมาได้อย่างง่ายดาย  แต่หากคุณมีประสบการณ์ในการเริ่มต้นที่เลวร้ายแล้วล่ะก้อ   โอกาสที่จะพัฒนาก็ค่อนข้างจะยาก  เพราะอะไร  เพราะจิตใต้สำนึกที่ส่งมาเตือนคุณอยู่เสมอว่า  อย่าพูดเลย เดี๋ยวฝรั่งไม่รู้เรื่องแล้วเราจะหน้าแตก , อย่าพูดเลย  เดี๋ยวพูดติดๆขัดๆแล้ว อายเขา.....  อะไรต่างๆนานาเหล่านี้จะเข้ามารบกวนจิตใจคุณตลอดเวลาจนคุณตัดสินใจที่จะเดินหนีฝรั่ง หรือไม่พูดอะไรดีกว่า  ซึ่งก็ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมให้คุณไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษตลอดไป.......แล้วคุณจะเริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร ??

หลักการในการเริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษ  นั้น จะต้องเริ่มมาจากสิ่งต่อไปนี้
1.  ความมั่นใจในการพูด    หากคุณมีเด็กเล็ก..น้องๆ หรือหลานๆ ในบ้านคุณ  คุณจะเห็นได้ชัดว่าแม้แต่เด็กเล็กยังต้องการความมั่นใจในการเริ่มต้นพูด  เขาจะฟังคุณแม่ที่คอยกระตุ้นให้เขาพูด  แต่ยังไม่ยอมพูดจนกว่าเขาจะมั่นใจว่า  สิ่งที่คุณแม่สอนนั้น เขาเข้าใจได้ถูกต้อง เช่น ชี้คุณพ่อได้ถูกต้อง เมื่อคุณแม่ถามว่าคุณพ่ออยู่ไหน เป็นการทดสอบก่อนว่าสิ่งที่ได้ฟังมานั้นเข้าใจถูกหรือไม่ หากได้รับคำชมจากคุณแม่ หลังจากนั้นไม่นานคุณจะพบว่าเขาจะเริ่มเรียก “พ่อ” ตามสำเนียงของเขาได้  นั่นคือ ประสบการณ์ของเขาสอนให้เขารู้ว่า หากเขามีความมั่นใจแล้วและพูดออกมาได้ถูกต้อง เขาจะได้รับคำชม ในทางกลับกัน  หากเขาพูดผิด และผู้ใหญ่หัวเราะด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อเด็กรู้สึกอายแล้ว สมองก็จะสั่งไม่ให้เขาพูด เขาก็จะไม่ยอมพูดออกมาจนกว่าจะมีความมั่นใจอีกครั้ง ดังนั้นคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจิตใต้สำนึกของเราจึงสั่งให้เราเดินหนีฝรั่ง เมื่อเราไม่มั่นใจ เราจึงควรสร้างความมั่นใจด้วยการฝึกฝนเองหรือให้ครูที่มีประสบการณ์ในการสอน หรือมีจิตวิทยาในการสอน มาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้

2.  ความรู้ในสิ่งที่เราจะพูด  สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ  หากเราสามารถพูดได้ แต่ไม่มีความรู้ในสิ่งที่เขากำลังคุยกันอยู่  เราก็ใบ้ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรอ่านหนังสือที่เป็นความรู้รอบตัว หรือหากเรามีความจำเป็นที่จะต้องพูดภาษาอังกฤษเรา ก็ควรจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนั้น ที่เป็นภาษาอังกฤษ แล้วเตรียมดูคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้อง หรือหาครูภาษาอังกฤษมาช่วยสอนให้  เป็นการเตรียมการเพิ่มเติมความรู้ในสิ่งที่เราอาจจะต้องพูด

3.  การใช้คำที่เหมาะสม  หากคุณเคยพูดภาษาอังกฤษเล่นๆกับเพื่อน พูดถูกบ้างผิดบ้าง  เพื่อนก็เข้าใจคุณ  และคุณก็ไม่ได้ศึกษาว่าคำภาษาอังกฤษคำนี้เหมาะสมหรือไม่  หากจะใช้กับแขกต่างประเทศหรือใช้ในที่ทำงาน  ถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษแบบเป็นทางการ  คุณก็ใบ้ได้อีกเช่นกันว่าเราควรจะพูดประโยคนี้ดีหรือไม่ เหมาะสมหรือเปล่า เป็นภาษาที่เขาใช้ในสังคมหรือไม่

โรงเรียนสอนภาษา @ Kingzton ENGLISH  INSTITUTE   สามารถช่วยคุณได้ด้วยโปรแกรมการสอนภาษาอังกฤษ ที่เริ่มต้นจากสิ่งง่ายๆ  โดย ครูจะสอบแบบช่วยประคับประคองให้คุณเริ่มต้นพูดภาษาอังกฤษให้ได้ก่อน  แล้วจึงมีการสร้างความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษให้แก่คุณด้วยเทคนิคการสอนที่แตกต่างจากสถาบันอื่น
หลังจากนั้น จะสอนให้คุณออกเสียงด้วยสำเนียงที่ถูกต้องชัดเจน แล้วกระบวนการสอนของสถาบันจะช่วยให้คุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างอัตโนมัติจากจิตใต้สำนึกโดยไม่ติดขัด รวมตลอดถึงสอนการพูดแบบเป็นทางการที่คุณจะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้กับคนทั่วไปในทุกสถานการณ์

เคล็ดลับ 10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ

10 ข้อในการจำศัพท์ภาษาอังกฤษ
            
รู้สึกสมองตื้อทุกครั้งเมื่อนึกถึงการที่ต้องท่องจำศัพท์ภาษาอังกฤษซะมากมายใช่มั้ย? ที่จริงการท่องศัพท์ไม่จำเป็นต้องเป็นงานที่ทำให้ปวดหัวหรือเหนื่อยใจเสมอไปหรอก เชิญอ่านเคล็ดลับในการเรียนศัพท์ดังต่อไปนี้แล้วนำไปใช้รับรองได้ผล !
ความเกี่ยวเนื่อง: ถ้าคุณจัดคำศัพท์ออกเป็นหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันระหว่างศัพท์แล้วเขียนออกมาเป็นแผนผังจะทำให้คุณจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น
เขียน: การนำคำศัพท์นั้นมาใช้จะทำให้คุณจำได้ฝังใจยิ่งขึ้น ลองเขียนแต่งประโยคโดยนำศัพท์ใหม่ที่เรียนนั้นมาประกอบหรือแต่งเรื่องโดยใช้กลุ่มคำศัพท์หรือสำนวนที่เรียนอยู่
วาดรูป: ดึงวิญญาณศิลปินในตัวคุณออกมาใช้โดยการวาดรูปที่แสดงถึงศัพท์ที่คุณเรียนอยู่ ภาพที่คุณวาดจะช่วยกระตุ้นความทรงจำถึงศัพท์นั้นในอนาคต
แสดง: แสดงท่าทางประกอบคำศัพท์หรือสำนวนที่คุณกำลังเรียนอยู่ หรือจินตนาการว่าคุณจะแสดงออกอย่างไรในสถานการณ์ที่คุณต้องใช้ศัพท์คำนั้น
สร้าง: ออกแบบ flashcards ศัพท์ภาษาอังกฤษพร้อมความหมายแล้วเปิดอ่านหรือท่องในยามว่าง ทำเล่มใหม่ขึ้นทุกอาทิตย์และอย่าลืมทบทวนอันเก่าไปพร้อมๆ กันด้วย
ความสัมพันธ์: กำหนดแต่ละสีให้แต่ละคำศัพท์ ความสัมพันธ์ของแต่ละคู่จะช่วยให้คุณจำศัพท์นั้นได้แม่นขึ้นเมื่อนึกถึงคำนั้นในคราวต่อไป
ฟัง: นึกถึงศัพท์คำอื่นที่ออกเสียงคล้ายๆ กับคำศัพท์ใหม่ที่คุณพยายามเรียนอยู่ ใช้ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ในการช่วยให้คุณจำการออกเสียงของคำใหม่นั้น
เลือก: จำไว้ว่าการเรียนในหัวข้อที่คุณชอบหรือสนใจจะทำให้คุณรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น ฉะนั้นคุณควรใส่ใจในการเลือกคำศัพท์ที่คุณคิดว่ามีประโยชน์หรือน่าสนใจ เพราะแม้แต่กระบวนการเลือกคำที่จะเรียนก็มีผลให้คุณจำได้แม่นและเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน !
ข้อจำกัด: คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่คนเราจะจำศัพท์ที่มีอยู่ในดิกชันนารี่ทั้งหมดได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นจำกัดการเรียนศัพท์ใหม่แค่วันละ 15 คำก็พอแล้ว ซึ่งถ้าพยายามจำให้มากคำเกินไปกว่านี้แทนที่มันจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกลับจะทำให้คุณสมองตื้อแทน
สังเกต: พยายามสังเกตหาคำศัพท์ที่คุณกำลังเรียนอยู่เมื่ออ่านหรือฟังภาษาอังกฤษ

ภาษาอังกฤษสำหรับการพูดถึงภัยธรรมชาติ


การพูดถึงภัยธรรมชาติ



ภัยธรรมพิบัติทางชาติเป็นผลจากการทำลายธรรมชาติที่นำไปสู่การสูญเสียด้านการเงิน สิ่งแวดล้อมและมนุษย์
             คุณคิดว่าภัยธรรมชาติแบบไหนที่แย่ที่สุด
'Floods' ตรงข้ามกับ 'droughts' ภัยแล้งเกิดขึ้นเมื่อไม่มีฝนตกเป็นเวลานานทำให้บริเวณดังกล่าวแห้งมากๆและไม่สามารถที่จะทำการเพาะปลูกได้ 
'drought' หรือภัยแล้งก่อให้เกิดความอดยาก มีอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้ผู้คนขาดอาหาร(และในที่สุดก็ตายเพราะความอดอยาก) 
'tornado' (หรือ 'twister') คือกลุ่มลมขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว 
'hurricane' (มหาสมุทรแอตแลนติก), 'typhoon' (มหาสมุทรแปซิฟิก) หรือ 'tropical storm' (มหาสมุทรอินเดีย) คือลมพายุขนาดใหญ่ที่มักเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูร้อน ซึ่งส่งผลให้เกิดลมแรงและฝนตกหนัก 
'Volcanic eruptions' ทำให้มีลาวาร้อนสีแดงพวยพุ่งออกมา ลาวา คือ ชนิดของหินเหลวที่เรียกว่า แม็ก 
'Earthquakes' เกิดขึ้นเมื่อแรงดันถูกปล่อยออกมากะทันหันซึ่งเป็นผลทำให้พื้นดินเกิดการเคลื่อนไหวและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หากแผ่นดิไหวเกิดขึ้นใต้น้ำจะส่งผลให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดเข้าสู่ชายหาดและพื้นดินบริเวณใกล้เคียง และคลื่นขนาดยักษ์ที่เดินทางด้วยความเร็วสูงนี้เรียกว่า 'tsunamis' 
'landslide' เกิดขึ้นเมื่อมีฝนตกจำนวนมากทำให้หินและพื้นดินต้องรับน้ำหนักน้ำเอาไว้มากจึงทำให้เกิดการทรุดตัวลงไป แต่ 'avalanche' เกิดจากการที่หิมะจำนวนมากเคลื่อนตัวลงจากภูเขาเนื่องจากหิมะรวมตัวกับอากาศและน้ำทำให้เกาะตัวได้ไม่แน่นพอ 
            คุณเตรียมพร้อมสำหรับภัยธรรมชาติแล้วหรือยัง
ในหลายๆประเทศใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าและสอนให้นักเรียน 'drill' เพื่อรับภัยพิบัติโดยการลงไปหมอบใต้โต๊ะ ออกไปที่ประตู หรือนอนในอ่างอาบน้ำ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติไดง่ายนั้นจะกักตุนจำพวกอาหารแห้งและอาหารกระป๋องและน้ำเอาไว้ 

           ประเทศของคุณเกิดภัยพิบัติบ่อยหรือเปล่า
 ปัญหาหลักที่เกิดจากภัยพิบัติธรรมชาติก็คือผลพวงของภัยพิบัตินั้น เช่น การได้รับเชื้อโชคจากน้ำที่ไม่สะอาด ความยากลำบากในการเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ และผลพวงด้านเศรษฐกิจทั้งที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างและสมรรถนะในการรับมือ นี่ยังไม่กล่าวถึงผู้เสียชีวิตนะ! ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ปัจจุบันเราสามารถบริจาคและให้การช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยได้หลายทาง ผู้รอดชีวิตได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าบรรเทาทุกข์ ผู้ช่วยเหลือและอาสาสมัคร




ที่มาของเดือนในภาษาอังกฤษ


เดือนในภาษาอังกฤษมาจากอะไรกันนะ

January -- เจนัส เทพของโรมัน ผู้เฝ้าประตู (เทพองค์นี้มีสองหน้า ใบหน้าหนึ่งมองไปข้างหน้า และอีกใบหน้าหนึ่งมองไปข้างหลัง)

February -- 
เฟบรูอะเลีย เป็นช่วงเวลาบวงสรวงของโรมัน

March -- 
มาร์ส แปลว่าดาวอังคาร เทพแห่งสงครามของโรมัน (สิ้นสุดฤดูหนาวหมายถึงว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขื้น)

April -- อะเพริเร ภาษาลาตินแปลว่า "เปิด" เช่น ดอกใม้ผลิบาน

May -- ไมเอ เทพธิดาแห่งพืชพันธุ์ที่งอกงาม

June -- จูนิอุส คำภาษาลาตินที่ใช้เรียกเทพธิดาจูโน

July -- ตั้งตามชื่อของจักรพรรดิโรมัน คือ จูเลียส ซีซาร์

August -- ตั้งตามชื่อ ออกัสตัส จักรพรรดิองค์แรกของโรมัน

September -- เซพเทม คำภาษาลาตินแปลว่า เจ็ดOctober -- ออคโต คำภาษาลาตินแปลว่า แปด

November -- โนเวม คำภาษาลาตินแปลว่า เก้า

December -- ดีเซม คำภาษาลาตินแปลว่า สิบ

How do you feel today? (คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์ต่างๆ)

How do you feel today? 

Emotions Which one best describes you?
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์1
Today I feel... วันนี้ฉันรู้สึก...
 Exhausted : อ่อนเปลี้ยเพลียแรง
 Confused : สับสน 
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์2
Shocked :  ตกใจกลัว
Guilty : รู้สึกผิด
Suspicious : หวาดระแวง / ขี้สงสัย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์3
Bored : เบื่อ
Hysterical : เป็นประสาท
Frustrated : สิ้นหวัง 
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์4
Miserable :  ห่อเหี่ยวใจ
 Confident : มั่นใจ
Scared : หวาดกลัว
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์5
Solitary :  อ้างว้าง
Happy : มีความสุข
Unhappy : เศร้า
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์6
Mean : ใจดำ / ใจแคบ
Furious : เกรี้ยวกราด
Embarrassed : กระดากอาย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์7
Anxious : กระวนกระวายใจ
Stuck up : เย่อหยิ่ง
Depressed : หดหู่
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์8
 Surprised : ประหลาดใจ
 Hopeful : เต็มไปด้วยความหวัง
Shy : เขินอาย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอารมณ์9
In love : กำลังมีความรัก
Jealous : อิจฉา / ริษยา
 Today I feel good about talking with you... วันนี้ฉันรู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับคุณ ^^