วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาษาอังกฤษไม่ยากเลย


พูดภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ
     
ขอเริ่มด้วยวิธีการถามนะคะ How to ask 
What ว็อท อะไร         who ฮู ใคร  
Where แวร์ ที่ไหน       When เวน เมื่อไหร่
Which วิช สิ่งไหน        Why วาย ทำไม 
What time ว็อท ไทม์    กี่โมงแล้ว
 How ฮาว อย่างไร        
 How much ฮาว มัช ราคาเท่าไหร่
 How many ฮาว มัช   จำนวนเท่าไร

 ประโยคทักทายถามไถ่สารทุกข์
1.   Hi,how are you  doing? ไฮ ฮาว  อาร์ยู ดู๊อิง  สบายดีไหม
2.   Hi,  how   are  you ? ไฮ ฮาว อ๊าร์ ยู   สบายดีไหม
3.  Hi,how  have you been ? ไฮ ฮาว แฮฟ ยูบี๊น   สบายดีไหม  (ใช้ในกรณีที่ไม่เจอกันนานมาก
 4.   I ' m  very well ,thank you .And you ?
      แอ่มเว้รี่เวล แธ้งคิว แอ่นด์ยู่ 
      ดิฉันสบายดีค่ะ  ขอบคุณมากค่ะที่เป็นห่วง แล้วคุณล่ะคะ
      การขอตัว
5.   I have to leave now.ไอแฮฟทูลีฟนาว
      ดิฉันต้องไปแล้วค่ะ
      การถามเวลา
6.   Could you tell me the time,please?
      คูดยูเท้ลมีเดอะไทม์ พลีส
      คุณช่วยบอกได้ไหมคะว่า เวลาเท่าไร
7.   Do you have the time ?
      ดูยูแฮฟเดอะไทม์
      การเดินทาง
8.   How was your trip?
      ฮาววอซยัวร์ทริป
      การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง
9.   How 's the weather like? ฮาวซฺเดอะเว๊เธอร์ไล้
10. What 's the weather like? วอทซฺเดอะเว๊เธอร์ไล้
     ทั้งสองประโยคนี้ใช้ถามถึงสภาพอากาศ
11. It was fun. อิทวอซฟัน
12. I had a good time. ไอแฮดอะกึ้ดไทม
     สนุกมาก
13.  It was the first time I had gone  abroad.
       อิทวอซเดอะเฟิร์สทฺไทมอ่ายแฮดกอนอะบร้อด
       เป็นครั้งแรกที่ฉันไปต่างประเทศ
  
ถาม-ตอบ ข้อมูลส่วนตัว
A: What's your name? คุณชื่ออะไร
B: Peter. ปีเตอร์

A: Where are you from? / Where do you come from?
คุณมาจากไหน
B: I'm from ... I come from ... ฉันมาจาก.......
A: What's your address? ที่อยู่ของคุณคือที่ไหน
B: 7865 NW Sweet Street 7865 นอร์ธเวสต์ ถนนสวีท

A: Where do you live? คุณอาศัยอยู่ที่ไหน
B: I live in San Diego. ฉันอาศัยอยู่ที่ ซาน ดิเอโก

A: What's your (tele)phone number? คุณหมายเลขโทรศัพท์อะไร
B: 209-786-9845

A: How old are you? คุณอายุเท่าไร
B: Twenty-five. I'm twenty-five years old. ยี่สิบห้า. ฉันอายุ 25 ปี

A: Are you married? / What's your marital status? คุณแต่งงานหรือยัง / สถานภาพการสมรสของคุณเป็นอย่างไร
B: I'm single. ฉันยังโสด

A: What do you do? / What's your job? คุณทำอาชีพอะไร
B: I'm a librarian. ฉันเป็นบรรณารักษ์

Saying Hello พูดทักทาย
How do you do? คุณสบายดีไหม
How do you do. Pleased to meet you. ยินดีที่เพบคุณ
 How are you? คุณสบายดีไหม
Fine, thanks. And you? สบายดี ขอบคุณ แล้วคุณล่ะ

Shopping เมื่อช็อปปิ้ง
Q 22: How can I help you? / May I help you? คนขาย: จะให้ช่วยอะไรบ้าง
A 22: Yes. I'm looking for a sweater. คนซื้อ: ครับ กำลังมองหาเสื้อสเวตเตอร์สักตัว
Q 23: Can I try it on? คนซื้อ: ขอลองได้ไหม
A 23: Sure, the changing rooms are over there. คนขาย: ได้ซีครับ ห้องลองเสื้ออยู่ตรงโน้นครับ
Q 24: How much does it cost? / How much is it? คนซื้อ: ราคาเท่าไร
A 24: It's $45. คนขาย: 45 เหรียญ
Q 25: How would you like to pay? คนขาย: คุณจะจ่ายยังไงครับ
A 25: By credit card. คนซื้อ: ใช้บัตรเครดิต
Q 26: Can I pay by credit card / check / debit card? คนซื้อ: ฉันจะจ่ายโดยใช้ บัตรเครดิต / เช็ค / บัตรเดบิต ได้ไหม
A 26: Certainly. We accept all major cards. คนขาย: ได้ซีครับ เรารับบัตรเครดิตยี่ห้อใหญ่ ๆ ทุกยี่ห้อ
Q 27: Have you got something bigger / smaller / lighter / etc.? คนซื้อ: คุณมีตัว ที่ใหญ่กว่า / เล็กกว่า / เบากว่า / ฯลฯ หรือไม่
A 27: Certainly, we've got a smaller sizes as well. คนขาย: มีครับ ขนาดเล็กกว่าเราก็มี

Asking Something Specific ถามคำถามเจาะจง
Q 28: What's that? นั่นอะไรน่ะ
A 28: It's a cat! แมว
Q 29: What time is it? เวลาเท่าไร
A 29: It's three o'clock. 3 นาฬิกา
Q 30: Can / May I open the window? ฉันขอเปิดหน้าต่างได้ไหม
A 30: Certainly. It's hot in here! ได้ซีครับ ข้างในนี่ร้อน
Q 31: Is there a bank / supermarket / pharmacy / etc. near here? มีธนาคาร / ซูเปอร์มาเก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ที่อยู่ใกล้ ๆ บ้างไหม
A 31: Yes. There is a bank on the next corner next to the post office. มีครับ มีธนาคารแห่งหนึ่ง ที่มุมถนนถัดไปติดกับที่ทำการไปรษณีย์
Q 32: Where is the nearest bank / supermarket / pharmacy / etc.? ธนาคาร / ซูเปอร์มาเก็ต / ร้านขายยา / ฯลฯ ที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหนครับ
A 32: The nearest pharmacy is on 15th street. ร้านขายยาที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ถนนหมายเลข 15
Q 33: Who wrote / invented / painted / etc. the ...? ใครคือผู้ เขียน / ประดิษฐ์ / วาด ภาพ / ฯลฯ .....
A 33: Hemingway wrote "The Sun Also Rises". เฮมิงเวย์เขียนหนังสือ "The Sun Also Rises"
Q 34: Is there any water / sugar / rice / etc.? มีน้ำ / น้ำตาล / ข้าว ฯลฯ บ้างไหม
A 34: Yes, there's a lot of sugar left. มีครับ มีน้ำตาลเหลืออยู่เยอะทีเดียว
Q 35: Are there any apples / sandwiches / books / etc.? มีแอปเปิ้ล / แซนด๋วิช / หนังสือ / ฯลฯ บ้างไหม
A 35: No, there aren't any apples left. ไม่มีครับ ไม่มีแอปเปิ้ลเหลืออยู่เลย
Q 36: Is this your / his / her / etc. book / ball / house / etc.? นี่คือ หนังสือ / ลูกบอล / บ้าน / ฯลฯ ของคุณ / ของเขา / ฯลฯ ใช่ไหมครับ
A 36: No, I think it's his ball. ไม่ใช่ครับ ฉันคิดว่าเป็นลูกบอลของเขา
Q 37: Whose is this / that? สิ่งนี้ / สิ่งนั้น เป็นของใคร
A 37: It's Jack's. เป็นของแจ๊ก

Questions with 'Like' คำถามที่มีคำว่า ‘like' (like แปลว่า ชอบ' หรือ คล้าย' หรือ มีลักษณะ')
Q 38: What do you like? คุณชอบอะไร
A 38: I like playing tennis, reading and listening to music. ฉันชอบเล่นเทนนิส, อ่านหนังสือ และฟังเพลง
Q 39: What does he look like? เขามีลักษณะเป็นยังไง
A 39: He's tall and slim. เขาสูงและผอม
Q 40: What would you like? คุณชอบอะไร
A 40: I'd like a steak and chips. ฉันชอบสเต็กและชิป
Q 41: What is it like? มันมีลักษณะเป็นอย่างไร
A 41: It's an interesting country. มันเป็นประเทศที่น่าสนใจประเทศหนึ่ง
Q 42: What's the weather like? อากาศเป็นอย่างไรบ้าง
A 42: It's raining at the moment. ตอนนี้ฝนตก
Q 43: Would you like some coffee / tea / food? คุณจะรับกาแฟ / ชา / อาหาร บ้างไหม
A 43: Yes, thank you. I'd like some coffee. ครับ ขอบคุณครับ ขอรับกาแฟแล้วกันครับ
Q 44: Would you like something to drink / eat? จะรับอะไรดื่ม / ทาน ไหมครับ
A 44: Thank you. Could I have a cup of tea? ขอบคุณครับ ขอชาสักถ้วยได้ไหมครับ

Asking for an Opinion พูดขอความคิดเห็น
Q 45: What's it about? มันเกี่ยวกับอะไร
A 45: It's about a young boy who encounters adventures. เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเผชิญเรื่องผจญภัย
Q 46: What do you think about your job / that book / Tim / etc.? คุณคิดยังไงเกี่ยวกับ งานของคุณ / หนังสือเล่มนั้น / ทิม / ฯลฯ
A 46: I thought the book was very interesting. ฉันคิดว่าหนังสือเล่มนั้นน่าสนใจมาก
 Q 47: How big / far / difficult / easy is it? มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่าย ขนาดไหน (ใช้ it = เอกพจน์)
A 47: The test was very difficult! ข้อสอบยากมาก
Q 48: How big / far / difficult / easy are they? มันใหญ่ / ไกล / ยาก / ง่าย ขนาดไหน (ใช้ they = พหูพจน์)
A 48: The questions were very easy. คำถามง่ายมาก
Q 49: How was it? มันเป็นอย่างไรบ้าง
A 49: It was very interesting. มันน่าสนใจมาก


Grammar




Introduce my self 


My name is Julalak   Buddee.
My nickname is Honey.
My birth day is 26 June 1991.
I am 21 years old.
Now, I am studying in English Program, Faculty of Education at Rajabhat Mahasarakham University
  • my e-mail address is eng1_julaluk@hotmail.com
  • my hobbies are watching TV
  • my favorite color is Pink and Yellow
  • my favorite food is roast pork
  • my favorite fruit is Longan
  • I like English subject. I don’t like Math subject.
  • When I graduate I want to be a teacher because I want to teach children.  












พื้นฐาน การใช้หลัก Grammar
คำนาม (Nouns)
คำนาม (Nouns) คือคำที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ มีรายละเอียดของคำนามดังต่อไปนี้
1.1 ชนิดของคำนาม (Kind of Nounns) แบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี
1. คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ วิสามานยนาม (Proper Noun) ชื่อคน ชื่อสัตว์ที่ตั้งชื่อให้เฉพาะ ชื่อสถานที่ ชื่อสิ่งของ เช่น Malee , Peter, Bangkok , etc
2. คำนามที่เป็นชื่อทั่วไป หรือสามานยนาม (Common Noun) เช่น man , boy,teacher ,
3. คำวัตถุนาม (Material Noun) ได้แก่ rice , coffee , food , etc.
4. คำนามที่ใช้เรียกกลุ่ม เช่น family,committee (คณะกรรมการ)
5. คำนามที่เป็นนามธรรม (Abstract NOun) ได้แก่ คำนามที่เป็นความรู้สึกนึกคิด (ไม่ใช่ คน สัตว์ หรือ สิ่งของ) เช่น peace (สันติภาพ) , toverty (ความยากจน) , wisdom (ปัญญา) , etc.
1.2 พจน์ของคำนาม (Number of noun) มี 2 ชนิด
1.3 คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) ได้แก่ คำนามที่เป็นเพียงหนึ่ง หรือ สิ่งเดียว คนเดียว ตัวเดียว เป็นต้น
คำนามพหูพจน์ (Plural Noun) ได้แก่ คำนามที่เป็นหลายสิ่ง หลายตัว เป็นต้น

คำนำหน้านาม (
ARTICLES)
คำนำหน้านามมี 2 ชนิด ได้แก่ a, an เรียกว่า Indefinite Article และthe
เรียกว่า DEfinite Article
A ,AN : A ใช้นำหน้าคำนามที่มีอักษรคำหน้าด้วย พยัญชนะ
AN ใช้นำหน้าคำนามที่มีอักษรนำหน้าด้วย สระ
1. ใช้นำหน้านามที่มีความหมาย หนึ่งเดียว เช่น I am a Thai.
2. ใช้ในความหมายแทน กลุ่ม เช่น A cow is animal. An ant is a small now.
3. ใช้ในการวัด มีความหมายตรงกับคำ “per” (ต่อ) เช่น ninety miles an hour. One hundred bath a dozen
5. ใช้กับคำนามเฉพาะที่เป็นที่รู้จักกันดี ในความหมายว่า หนึ่งในหลาย
6. ใช้ในรูป What a + (นามที่นับได้เอกพจน์)
How + adjective + a + (นามที่นับได้เอกพจน์

คำสรรพนาม (
PRONOUNS)
คำสรรพนาม (Pronouns) เป็นคำแทนชื่อ เช่น MR.Smith เป็นคำนาม แต่เราไม้เรียกชื่อ เราจะใช้ “he” แทนได้ คำ pronoun ได้แก่ I , you , he , she , it , they , them , her , him , me , we , us , who , whom , which , whose , etc. และมีรายละเอียดดังนี้
3.1 ประเภทของสรรพนาม
1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนามแบ่งเป็น 3 บุรุษได้แก่ ผู้พูด (บุรุษที่1 : first person) ผู้ฟังหรือ ผู้ที่พูดด้วย (บุรุษที่2 : second person) และผู้ที่ถูกกล่าวถึง (บุรุษที่3 : third person)
First person ได้แก่ I , we , us ,
Second person ได้แก่ you
Third person ได้แก่ he , she , it , they , him , her , them
2. Reflexive Pronoun or Emphatic Pronoun ได้แก่ คำสรรพนามที่เน้นย้ำ ได้แก่ myself yourself , himself , herself , itself , ourselves , yourselves , themselves
3. Relative Pronoun ได้แก่ คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เชื่อมกับคำนามที่มาข้างหน้า เรียกว่า antecedent ทำให้เกิดเป็นประโยคย่อย ประโยคช่วย (subordinate clause) คำที่เป็น relative pronoun ได้แก่ that , who , which , whose , what , as , whoever , whichever
4. Interrogative Pronoun ได้แก่ สรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นคำถาม (Question words) เช่น who , what , whom , which , whose , etc.
5. Possessive Pronoun ได้แก่ คำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น mine , yours , his , hers , ours , theirs
6. Demonstrative Pronoun หมายถึง คำสรรพนามที่แสดงความจำเพาะเจาะจง ได้แก่ this , that , these , those , these
7. Indefinite Pronoun หมายถึง คำสรรพนามที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของโดยทั่วๆไป ได้แก่ everyone everybody , everything , someone , somebody , something , nobody , nothing , anyone , anybody , anything , some , any , all , several , few
8. Distributive Pronoun หมายถึง คำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล หรือ สิ่งของ ในชั่วขณะหนึ่ง และถือเป็น
เอกพจน์ เช่น Each of the girls has a comb .
3.2 พจน์ของสรรพนาม แยกเป็น เอกพจน์ (Singular) และพหูพจน์ (Plular)
Singular Plural
First Person I , me we , us
mine ours
Second Person thou thee he, she ,it you, yours, they
Third Person him , herhis , hers them,their
3.3 พจน์ของสรรพนาม (Gender or pronoun)
Singular Plural
Masculine,Feminin,Neuter all gender
He She It They
Him Her It Them
His Hers Its Theirs
3.4 หน้าที่สรรพนาม ในประโยคคำสรรพนาม ทำหน้าที่เป็น ประธาน (Subject) ของประโยคหรือเป็นกรรมของประโยค (Object) การแสดงเป็นเจ้าของ (possessive) และคำเน้น (self form) มีการสัมพันธ์กัน

คำคุณศัพท์ (
ADJECTIVES)
คำคุณศํพท์เป็นคำขยายนามหรือ สรรพนาม (Noun or Pronoun) ให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น
4.1 ประเภทของคำคุณศัพท์ มี 7 ชนิด ดังต่อไปนี้
3. Quantitative Adjective เป็นคุณศัพท์ที่บอกปริมาณสำหรับ noun หรือ pronoun ที่นับไม่ได้ เช่น
He drinks a little water.
4. Numeral Adjective ได้แก่คำคุณศัพท์ที่บอกจำนวนหรือตัวเลข แยกได้ 2 ชนิด
– Definite Numberal Adjective ได้แก่คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนที่แน่นอน
– Indefinite Number Adjedtive ได้แก่คุณศัพท์ทีใช้บอกจำนวนแต่ไม่แน่นอน few , all , some , a few , many , enough , any
5. Distributive Adjective หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้แสดงการ แจกจ่ายบุคคลหรือสิ่งของ เมื่อมีการใช้ คุณศัพท์ชนิดนี้แล้ว จะทำให้คำนามเป็น เอกพจน์ (singular) เช่น Each boy has a book.
6. Demonstrative Adjective หมายถึง adjective ที่เป็นตัวบ่งชี้ คำสรรพนาม ที่แสดง เจาะจง” (dejective) และ ไม่เจาะจง” (indefinite)
7. Interrogative Adjective หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ในการตั้งคำถาม ข้อสังเกตคือ คำคุณศัพท์ต้องขยายคำนาม ถ้าอยู่ โดดเดี่ยวไม่ขยายคำใด คำนั้นจะเป็นคำสรรพนาม (Interrogative Pronoun)
4.2 Comparison Degree หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้เปรียบเทียบ การเปรียบเทียบมี 3 ระดับ ได้แก่ ขั้นปกติ (Positve degree) ขั้นกว่า (comparative degree) และขั้นสุด (superlative degree)

คำกริยา (
VERBS)
คำกริยาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
1. กริยาแท้ (Finite vervs) หมายถึง อาการที่แสดงออกหรือการบังเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ ที่ถูกจำกัด
2. กริยาไม่แท้ (Non – finite Verbs) ได้แก่ กริยาที่ไม่ถูกจำกัด
5.1 กริยาแท้
5.1.1 Kind of Finite Verb มี 3 ชนิด
1. Transitive Verbs คือ สกรรมกริยา หมายถึงกริยาที่ต้องมีกรรมมารับ
She reads an English tale.
2. Intransitive Verb คือ อกรรมกริยา หมายถึง กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ
The sun sets . Water flows.
3. Auxiliary Verbs หมายถึงกริยาช่วย มีทั้งหมด 6 ตัว ได้แก่ have , be , shall , will , may , do เช่น
He has done many things .
การใช้ Auxiliary Verbs
1. ใช้ have เพื่อสร้าง perfect tense ซึ่งมีรูปเป็น to have + past participle เช่น
He has run away .









คลิกที่นี่ เพื่อทำแบบทดสอบ


วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทาน ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

นิทานเรื่องต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

   
นิทานเรื่อง ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม
จำนวนหน้า 15 หน้า
แต่งโดย  นางสาวจุฬาลักษณ์  บุดดี
เรื่องย่อ...ด้วยความน้อมของเจ้าไผ่นำมาสู่ความรัก แต่ความอวดเก่งของต้นสักใหญ่เป็นเหตุของความหายนะ

นิทานเรื่องต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม

   
นิทานเรื่อง ต้นสักใหญ่กับเจ้าไผ่ลู่ลม
จำนวนหน้า 15 หน้า
แต่งโดย  นางสาวจุฬาลักษณ์  บุดดี
เรื่องย่อ...ด้วยความน้อมของเจ้าไผ่นำมาสู่ความรัก แต่ความอวดเก่งของต้นสักใหญ่เป็นเหตุของความหายนะ


1.
2.
3.

4.
5.
6.
7.

8.
9.
 10.
 11.
12.
 13.
 14.
 15.



สามารถดาวน์โหลดไฟล์ PDF ได้ที่นี่

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

การแปล Tense

ลักษณะ Tense ในภาษาอังกฤษ
       ภาษาอังกฤษมีการเปลี่ยนรูปกริยาเพื่อแสดงกาล กริยานั้นอาจจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น go went gone หรือเติมปัจจัยเข้าไปหลังกริยา เช่น walk walked walked ในประโยคอาจมีหรือไม่มีคำบอกกาลเวลากำกับอยู่ หน้าที่ของกริยาที่เปลี่ยนไปที่เราเรียกว่า tense ต่าง ๆ นี้ คือ เพื่อบอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน
ตัวอย่างประโยค 3 ประโยคต่อไปนี้ มีความหมายไม่เท่ากันในแง่ของกาลเวลา
1. My friend lives in Bangkok.
2. My friend lived in Bangkok.
3. My friend has lived in Bangkok. 
ประโยค 1-3 อาจแปลได้ความเท่ากัน คือ “เพื่อนของฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ” แต่ความหมายของประโยคที่เกี่ยวกับเวลาไม่เท่ากัน
ประโยคที่ 1 ใช้ simple present tense หมายความชัดเจนว่า
เพื่อนของฉันอยู่ในกรุงเทพฯ (กำลังอยู่ในขณะนั้น)
ประโยคที่ 2 ใช้ past tense แสดงว่า
เขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว 
ประโยคที่ 3 ใช้ present perfect tense อาจหมายความว่า
เขาเคยอยู่ที่นั่นในอดีต ตอนนี้อาจจะยังอยู่หรืออาจไม่อยู่แล้ว 

คำบอกกาลในภาษาไทย
          ภาษาที่มีวิภัตติ ปัจจัย อย่างภาษาบาลี สันสกฤตและอังกฤษ กาล มาลา วาจก เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ในภาษาไทย กาล มาลา วาจก ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่าไรนัก เพราะภาษาไทยเวลานำมาพูดหรือเขียน ไม่จำเป็นต้องระบุเวลาว่าเมื่อไร ผู้ฟังและผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเอาเอง ภาษาไทยไม่มีการแจกวิภัตติ ปัจจัยเพื่อบอกกาลเวลา คำแต่ละคำใช้ได้ในทุกโอกาส เมื่อต้องการจะบอกกาลเวลาก็มีวิธีการที่จะบอกได้ดังนี้
เมื่อต้องการทราบว่า กริยากระทำเมื่อไรต้องอาศัยกริยาช่วย เช่น จะ อยู่ กำลัง ได้ แล้ว ในภาษาไทยจะบ่งชัดลงไปว่า กริยาแท้ หรือ กริยาช่วย ต้องดูตำแหน่งในประโยคเป็นส่วนประกอบด้วย คำเหล่านี้บอกกาลเวลาต่างกัน คือ 
บอกปัจจุบัน เช่น อยู่ กำลัง กำลัง....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว
ดูโทรทัศน์อยู่นั่นแหละ ไม่รู้จักหลับนอน 
(เป็นการบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ยุติลง แสดงว่า ยังดูโทรทัศน์โดยไม่ยอมเข้านอน)

เขากำลังวิ่ง 
(คำว่า “กำลัง” เป็นคำบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าเขากำลังวิ่งอยู่อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ได้หยุดวิ่ง)

สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่
(แสดงว่า ตลอดเวลาสมศักดิ์นอนหลับอยู่ยังไม่ตื่นขึ้นมา เป็นการบอกเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่โดยเน้นความ)

สมศรีกำลังทำการบ้านอยู่แล้ว 
(ประโยคนี้เน้นความยิ่งกว่า สมศักดิ์กำลังนอนหลับอยู่เพราะในข้อความนี้ได้เน้นให้เห็นว่า สมศรีได้ลงมือทำการบ้านแล้ว แต่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ซึ่งเป็นการบอกเหตุการณ์ให้รู้ว่าการกระทำได้เริ่มเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ)
บอกอดีต ได้แก่ ได้ ได้....แล้ว เช่น 
สมศรีได้รับจดหมาย 
(บอกให้รู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา สมศรีได้รับจดหมาย)
สมศรีได้พบคุณพ่อแล้ว 
(บอกให้รู้ว่าการพบคุณพ่อของสมศรีได้ผ่านพ้นไปและเสร็จสิ้นลง เรียบร้อยแล้ว)

บอกอนาคต ได้แก่ จะ กำลังจะ....อยู่ กำลัง....อยู่แล้ว เช่น
ใครจะไปใครจะมา 
(บอกเวลาล่วงหน้า เหตุยังไม่เกิด) 
หล่อนกำลังจะเปิดวิทยุฟังเพลง
สมศรีกำลังจะกินอาหารอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
คุณแม่กับคุณพ่อกำลังจะไปตลาดอยู่แล้ว

ความแตกต่างและความคล้ายคลึงของ tense ในภาษาอังกฤษและภาษาไทยในแง่รูปคำและหน้าที่

Tense ในภาษาอังกฤษ
Tense ในภาษาไทย
รูปคำ
- เปลี่ยนรูปคำกริยา เช่น go went gone 
- ไม่เปลี่ยนรูปกริยา 
- เติมปัจจัย ed เช่น walk walked walked 
- มีการเติมกริยาช่วย เช่น กำลัง กำลังจะ แล้ว 
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
- มีหรือไม่มีคำบอกกาล/เวลา กำกับ
หน้าที่
- บอกความหมายของกาลเวลาต่าง ๆ กัน ตาม tense ที่ต่างกัน
- ไม่ให้ความสำคัญกับกาล/เวลาที่ต่างกัน
- รู้กาลเวลาโดยเดาจากปริบท หรือจากคำกำกับเวลา (ถ้ามี)

วิธีแปล
          ผู้แปลควรอ่านประโยคภาษาอังกฤษเพื่อทำความเข้าใจความหมายของ tense ในแง่ของกาล/เวลา ดูว่าประโยคนั้นใช้ tense อะไร แล้วจึงแปลถ่ายทอดเป็นภาษาไทยให้ตรงกับลักษณะกาล/เวลา ที่นิยมใช้ในภาษาไทย โดยอาจจะเติมคำเสริมกริยาต่าง ๆ หรือคำบอกเวลาที่เหมาะสมในภาษาไทย เช่น มาตลอด ก่อน แล้ว จะ เพิ่ง เคย เป็นต้น ถ้าในประโยคภาษาอังกฤษนั้นมีกริยาหลายตัวที่อยู่ใน tense เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมกริยาไปทุกที่ เพราะจะเป็นการซ้ำซ้อนซึ่งภาษาไทยไม่นิยม ดังตัวอย่างเช่น
เขากำลังจะโทรศัพท์ถึงเพื่อนของเขาและเพื่อนของเขากำลังจะมา
เขาทั้งสองกำลังจะไปทานข้าวนอกบ้านกัน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

เช่นเดียวกันเมื่อแปลประโยคหรือข้อความที่เป็นเรื่องเล่า ซึ่งใช้คำกริยาเป็นอดีตกาล
เวลาแปลภาษาไทยไม่นิยมใส่คำบอกกาล ได้ + กริยา อย่างพร่ำเพรื่อ ตัวอย่างเช่น
เขาได้ไปโรงเรียน เขาได้มาถึงโรงเรียนทันเวลา และเขาได้ทำความเคารพครูที่ยืนอยู่หน้าโรงเรียน
(ภาษาไทยไม่นิยม)

ตัวอย่างการแปลประโยคภาษาอังกฤษที่มี tense ต่าง ๆ เป็นภาษาไทย

1. Have you finished your term paper?
ทำรายงานเสร็จแล้วหรือยัง
อธิบาย: แล้ว-ยัง คำบอกเวลาจากอดีตมาจนปัจจุบัน (present perfect tense)
No, but I’ll finish it this evening.
ยังหรอก แต่จะทำให้เสร็จตอนเย็นนี้
อธิบาย: จะ....ตอนเย็นนี้ บอกกาลอนาคตแบบของไทย
2. Did you see a lot of friends at the party?
คุณพบเพื่อนหลายคนไหมที่งานเลี้ยง
อธิบาย: อดีต แต่ไม่จำเป็นต้องใส่คำเสริมบอกอดีต เช่น “ได้” ข้างหน้าคำกริยา
No, I didn’t. When I arrived there, some of them had already left.
ไม่ค่อยพบหรอก พอไปถึงที่งานปรากฏว่าเพื่อนหลายคนกลับไปก่อนแล้ว
อธิบาย: already = ก่อนแล้ว และกริยาในประโยคก็แปลอย่างปกติ
3. Did you enjoy the party last night?
เมื่อคืนงานเลี้ยงสนุกไหม
อธิบาย: แปลคำบอกกาลก็เพียงพอแล้ว last night = เมื่อคืน
Yes, I did. It wasn’t like any other party that I have ever been to.
สนุกซิ ไม่เหมือนกับงานเลี้ยงก่อน ๆ ที่เคยไปเลย
อธิบาย: แปล present perfect จากอดีตจนถึงปัจจุบันโดยใช้คำบอกกาล เคย....เลย
4. When I arrived at the office, the meeting was just beginning
เมื่อฉันไปถึงที่ทำงาน การประชุมกำลังเพิ่งเริ่มพอดี
อธิบาย: เราไม่แปล past tense ของกริยาว่าได้ + v แปลว่า ไปถึง เท่านั้น just
แปลว่า เพิ่ง ใช้คำนี้กับเหตุการณ์ในอดีตก็ได้
continuous tense ในประโยคนี้ แปลตรงกับภาษาไทยว่า กำลัง + v
5. Talking to her wasn’t easy although I had known her for a long time.
(การ) คุยกับเธอนั้นไม่ใช่ของง่าย ทั้ง ๆ ที่ฉันเคยรู้จักเธอมาก่อนแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ในอดีต ไม่นิยมแปลว่า ได้ + v การแปลเพื่อแสดง past perfect 
tense ใช้คำเสริมกริยา เคย...ก่อนแล้ว
6. By the time you read this letter, I will have already left home.
กว่าเธอจะได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันก็คงออกจากบ้านไปแล้ว
อธิบาย: เหตุการณ์ช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต สังเกตคำแปล กว่า...จะ คง...แล้ว แล้ว
ใน
ที่นี้แปลว่า ทำอาการนั้นแล้ว ไม่ได้แปลว่า อดีตหรือเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว
7. She explained that the problem of water was solved when she moved to this area ten years ago.
เธอชี้แจงว่าปัญหาเรื่องน้ำแก้ไขไปก่อนที่เธอจะย้ายมาอยู่แถบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน
อธิบาย: v. + ed ไม่จำเป็นต้องแปลว่า ได้ + v. เสมอไป ในบางจุดอาจเติม “จะ” เพื่อให้เห็นช่วงเวลาก่อนหลังที่ห่างกัน 2 ช่วง แก้ไขไปก่อน...จะ คำว่า “ก่อน” ที่อยู่ท้ายประโยค แปลจาก ago
8. When I finally knew what was happening, I saw many police inside my house. 
ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็เห็นตำรวจอยู่เต็มบ้าน
อธิบาย: เพื่อให้เห็นความแตกต่างของเวลา 2 ช่วง ที่ใช้ past tense กับ past
continuous แปลเป็นภาษาไทย โดยใช้คำเสริมกริยา ก่อนจะ 
9. She has been standing there, waiting for her son, for more than two hours.
เธอยืนอยู่ที่นั่นมาตลอด คอยลูกชายอยู่เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้ว
อธิบาย: present perfect continuous tense แสดงโดยใช้คำเสริมบอกการทอดระยะของ 
ช่วงเวลา ....มาตลอด....แล้ว
10. I’ll be seeing him tomorrow at the office.
ผมนัดกับเขาไว้ว่าจะเจอกันพรุ่งนี้ที่ที่ทำงาน
อธิบาย: ประโยคที่ใช้ future continuous tense แสดงว่า มีการตกลงกันไว้แล้ว จะแปลต่างจากประโยคที่ว่า “I’ll see him” ผมจะไปพบเขา ซึ่งใช้ future tense ธรรมดา ที่แสดงถึงอนาคตกาลเท่านั้นเอง 

การแปลคำเชื่อมและสรรพนามต่าง ๆ
            ปัญหาหนึ่งที่ผู้แปลประสบเมื่ออ่านข้อความที่ติดต่อกันหลายประโยค คือ เกิดความสับสน ไม่ทราบว่าเรื่องราวและใจความเชื่อมโยงกันอย่างไร ส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก และส่วนใดเป็นส่วนขยาย โดยปกติแล้วประโยคที่ยาวและซับซ้อนจะมีคำเชื่อม (connectives) หรือคำโยงความ (discourse markers) ต่าง ๆ เช่น because, though, however เป็นต้น ทำหน้าที่เชื่อมโยงความแต่ละส่วนเข้าด้วยกัน คำเชื่อมเหล่านี้นอกจากจะทำหน้าที่เชื่อมข้อความตามโครงสร้างแล้วแต่ละคำยังมีความหมายเฉพาะอีกด้วย ซึ่งในการแปลถ้าผู้แปลสามารถจับความหมายของคำเชื่อมเหล่านี้ได้จะทำให้แปลข้อความออกมาได้ถูกต้องชัดเจน คำเชื่อมต่าง ๆแบ่งตามประเภทและหน้าที่ดังต่อไปนี้ 
Function
Connectives/Discourse Markers
เพื่อยกตัวอย่าง (example)กล่าวซ้ำใจความสำคัญ (restatement)ให้คำอธิบาย (explanation) บอกเหตุ (cause)บอกเหตุบอกผล (cause & effect)เปรียบเทียบในเชิงคล้ายคลึงกัน(comparison) เปรียบเทียบในลักษณะที่แตกต่าง(contrast )บอกวัตถุประสงค์(purpose)บอกความขัดแย้งกัน(concession)บอกเงื่อนไข,ข้อแม้(condition)บอกเวลา(time)บอกความเพิ่มเติม (addition)
for example, take the example of,for instance, another instance of,such as, an example of, as forin other words, that is to sayin fact, as a matter of fact, accordingbecause, since, asfor this reason, because of this,consequently, as a resultsimilarly, likewise, in the same waybut, whereas, however, in contrast, conversely, on the other hand that, so that, in order that, in order toalthough, though, even though,the former......the latter even if, nevertheless, yetif, unless, provided that, oncondition thatwhen, while, since, asmoreover, furthermore, and
วิธีแปล
อ่านข้อความหรือประโยคเพื่อให้เข้าใจความหมายต่าง ๆ ก่อนจะลงมือแปลให้แบ่งข้อความนั้นเป็นตอน ๆ หรือแบ่งประโยคเป็นช่วงสั้น ๆ และวิเคราะห์โครงสร้างของข้อความหรือประโยคว่าส่วนใดเป็นประธาน ส่วนใดเป็นกริยาหลัก กรรมและส่วนขยาย 
ตัวอย่าง
As a schoolboy / he chose to take the bus to school / instead of being driven there in the family’s limousine. /Later, he won a King’s Scholarship / to study engineering in the United States, / but halfway through that, / he decided to give it up / and returned to Thailand / to study medicine instead. / 

จะสังเกตว่า ข้อความนี้มีคำเชื่อมอยู่ 5 คำด้วยกัน คือ as ที่ทำหน้าที่บอกเวลา but, instead และ instead of ทำหน้าที่บอกความแย้ง และ and ทำหน้าที่บอกความเพิ่มเติม ส่วนเครื่องหมาย / แบ่งช่วงข้อความที่จะแปล

คำแปล
เมื่อเป็นเด็กนักเรียน เขาเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนแทนที่จะนั่งรถที่บ้านไป ต่อมาเขาได้ทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ยังประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเรียนไปได้ครึ่งทาง เขาตัดสินใจยกเลิก และกลับมาเมืองไทยเพื่อเรียนแพทย์แทน

ตัวอย่าง 
If you want to change the world, change the man in the mirror.
ถ้าเธอต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกละก็ จงเปลี่ยนคนที่คุณเห็นในกระจก

I hear you are enjoying your new job; on the contrary, I think it’s dull.
ฉันได้ยินว่าคุณสนุกกับงานใหม่ของคุณ ตรงกันข้ามทีเดียวฉันคิดว่าน่าเบื่อ

You can add the fluid to the powder or; conversely, the powder to the fluid.
คุณสามารถเติมของเหลวไปในแป้งหรือกลับกันเติมแป้งไปในของเหลวก็ได้